โครงงานSTEM

บทคัดย่อ
น้ำตาลแว่น เป็นผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากน้ำตาลโตนด มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ บรรพบุรุษ ได้นำผลผลิตจากต้นตาลโตนด ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำนวนมากมายมหาศาล  นับเป็นอาชีพหลักที่สำคัญของชาวบ้าน รองจากอาชีพทำนา สมัยก่อนชาวบ้านที่มีอาชีพทำน้ำตาลโตนด จะนำน้ำตาลมาเคี่ยวกลายเป็นน้ำผึ้งเหลวเก็บไว้ แต่บางส่วนก็นำมาเคี่ยวต่อให้ข้นเหนียวจนแห้งกลายเป็นผง เรียกว่า น้ำผึ้งขี้มา หรือบางครั้งกลายเป็นน้ำผึ้งตังเม ใช้สำหรับเป็นขนมหวาน ไว้ถวายพระฉันท์กับน้ำร้อน และเป็นของกินเล่นของเด็ก ๆ
การทำน้ำตาลแว่น ได้ทำกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ได้ถ่ายทอดวิธีการทำให้แก่ลูก ๆ หลาน ๆ ทำติดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน และได้พัฒนามาเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน น้ำตาลแว่นได้รับการยอมรับเป็นสินค้า หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ระดับ 5 ดาว (ปี 2546) ของอำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
กิตติกรรมประกาศ
โครางงานฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ต้องขอขอบพระคุณ ครูผู้สอนที่ให้ความรู้และคำแนะนำ ตรวจทานและแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ด้วยความเอาใจใส่ทุกขั้นตอน  เพื่อให้โครงงานฉบับนี้สมบูรณ์ที่สุด และเพื่อนๆทุกคนที่ช่วยกันค้นคว้าหาข้อมูลในการทำรายงานครั้งนี้
ขอขอบคุณพระคุณครอบครัวคณะผู้จัดทำ ที่อยู่เบื้องหลังในความสำเร็จ ได้ให้ความช่วยเหลือและให้กำลังใจตลอดมา
คณะผู้จัดทำ
คำนำ
รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอโครงงานIS ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น  ในหัวข้อ  น้ำตาลแว่นภูมิปัญญาท้องถิ่น
            คณะผู้จัดทำโครงงานได้ศึกษาเนื้อหาจากอินเตอร์เน็ตและลงพื้นที่จริง อีกทั้งยังรวบรวมข้อมูลและเก็บบันทึกข้อมูล  เพื่อศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยความตั้งใจ  สามัคคี  ในการนำเสนอโครงงานชิ้นนี้  เพื่อให้ได้ประโยชน์ทั่วไป
คณะผู้จัดทำ


สารบัญ
เรื่อง                                                                                                             หน้า
บทคัดย่อ                                                                                                                   ก
กิตติกรรมประกาศ                                                                                                   
คำนำ                                                                                                                         
บทที่1 บทนำ                                                                                                           1-3
-แนวคิดที่มาและความสำคัญของโครงงาน
-วัตถุประสงค์ของโครงงาน
-ขอบเขตและข้อจำกัดของโครงงาน
-ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงานนี้
บทที่เอกสารที่เกี่ยวข้อง                                                                                       4-7                  
บทที่3  วิธีการดำเนินโครงงาน                                                                                8-9
-เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษา
-วิธีการศึกษา
-ผลการศึกษา
บทที่4  ผลการดำเนินโครงงาน                                                                               10             
บทที่5  สรุปผลอภิปราย  ข้อเสนอแนะ                                                                11-12
บรรณานุกรม                                                                                                         13
ภาคผนวก                                                                                                            14-19


                                                                                                                                 

บทที่1
บทนำ
1.แนวคิดที่มาและความสำคัญของโครงงาน
          เนื่องจากในท้องถิ่นเรานั้นมีต้นตาลโตนดเป็นจำนวนมาก  ด้วยความหนาแน่นของต้นตาลทำให้ผู้คนในท้องถิ่นนั้นๆ  นำตาลโตนดมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางจนกลายเป็นวิถีชีวิตของคนในชุมชน  และเป็นมรดกวัฒนธรรมของชุมชนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
2.วัตถุประสงค์ของโครงงาน
1.เพื่อลดการว่างงานของคนในชุมชน
2.เพื่อสืบสานภูมิปัญญาไทยให้คงอยู่ต่อไป
3.เพื่ออนุรักษ์ให้คนรุ่นหลังได้รู้จักภูมิปัญญาไทย
4.เพื่อทำให้เกิดความคิดและสร้างอาชีพภายในชุมชน
5.สามารถนำโครงงานนั้นไปต่อยอดและพัฒนาโครงงานต่อไป
3.ขอบเขตและข้อจำกัดของโครงงาน
1.สิ่งที่ศึกษา  ศึกษาเกี่ยวกับตาลโตนดการทำน้ำตาลแว่น
2.สถานที่  แหล่งขายของฝาก ตำบลสนามชัย อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา

3.ระยะเวลา  2เดือน (มิถุนายน-กรกฎาคม )
วิธีการทำน้ำตาลแว่น
1. นำน้ำหวานที่ได้จากต้นตาลมาเคี่ยวให้เป็น น้ำผึ้งโดยเทน้ำหวานที่ผ่านการกรองเรียบร้อยแล้วลงในกระทะใบบัว ตั้งบนเตาขนาดใหญ่ที่ก่อด้วยดิน  เคี่ยวน้ำหวานไปจนมีสีขาวขุ่นและเริ่มมีฟอง เรียกว่า เป็นเยี่ยววัว”  เมื่อน้ำหวานเดือดพล่านจนเกือบจะล้นกระทะ   ให้แบ่งต้มอีกกระทะหนึ่ง   ใส่ไฟเพิ่มเคี่ยวให้เดือดพล่านจนเป็นเปือก (ฟอง)  หายไป  (ถ้าไฟอ่อนจะได้น้ำผึ้งเปรี้ยว เรียกว่า เคี่ยวไม่ถึงไฟ” ) และเคี่ยวไปจนมีสีอย่างสีของน้ำผึ้งรวง จึงลด (ซา) ไฟ แล้วตักใส่ไหหรือถังขนาดใหญ่ เรียก น้ำผึ้ง” (น้ำตาลเหลว)
2. นำน้ำผึ้ง 67 ลิตรมากรองใส่กระทะ เติมน้ำมันมะพร้าว 23 หยด เพื่อกันการเกิดฟองมากเกินไปเวลาเคี่ยว  ตั้งไฟเคียวประมาณ 10 นาที  จากนั้นใช้ไม้กวนด้ามยาวกวนไม่ให้น้ำผึ้งเดือดล้นกระทะประมาณ 10 นาที จนเป็นสีน้ำตาลเข้มยกกระทะลงวางบนที่วางกระทะ (อาจขุดดินเป็นแอ่งหรือเตาดิน) ต่อจากนั้นใช้ไม้กวนตี (โซม) แรง ๆ ประมาณ 5 นาที น้ำผึ้งจะเหนียวและข้น
3. ขณะที่โซมน้ำผึ้งมีคนเตรียมแว่นวางบนแผง  แล้วประพรมน้ำเล็กน้อย ตักน้ำผึ้งหยอดลงในแว่นที่เตรียมไว้ ทิ้งไว้สักครู่น้ำผึ้งจะแห้ง นำบรรจุภาชนะหรือถุงไว้บริโภค
4.ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงานนี้
1.ลดการว่างงานของคนในชุมชน

2.ทำให้เกิดรายด้ายในชุมชน
3.ทำเวลาว่างให้เกิดประโยชน์
4.สามารถสร้างอาชีพให้กับตนเองได้
5.อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมภูมิปัญญาไทยให้คงอยู่ต่อไป


บทที่2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง

ตาล หรือ ตาลโตนด หรือ โหนด ในภาษาใต้[1] เป็นพันธุ์ไม้พวกปาล์มขนาดใหญ่ สกุล Borassus ในวงศ์ปาล์ม (Arecaceae) เป็นปาล์มที่แข็งแรงมากชนิดหนึ่ง และเป็นปาล์มที่แยกเพศกันอยู่คนละต้น ต้นสูงถึง 40 เมตร และโตวัดผ่ากลางประมาณ 60 เซนติเมตร ลำต้นเป็นเสี้ยนสีดำแข็งมาก แต่ไส้กลางลำต้นอ่อน บริเวณโคนต้นจะมีรากเป็นกลุ่มใหญ่ ใบเหมือนพัดขนาดใหญ่ กว้าง 1 1.5 เมตร มีก้านเป็นทางยาว 1 2 เมตร ขอบของทางของก้านทั้งสองข้าง มีหนามเหมือนฟันเลื่อยสีดำแข็ง ๆ และคมมาก โคนก้านแยกออกจากกันคล้ายคีมเหล็กโอบหุ้มลำต้นไว้ ช่อดอกเพศผู้ใหญ่ รวมกันเป็นกลุ่มคล้ายนิ้วมือ เรียกว่านิ้วตาลแต่ละนิ้วยาวประมาณ 40 เซนติเมตร และโตวัดผ่า กลางประมาณ 1.5 2 เซนติเมตร โคนกลุ่มช่อจะมีก้าน ช่อรวมและมีกาบแข็ง ๆ หลายกาบหุ้มโคนก้านช่ออีกทีหนึ่ง ช่อดอกเพศเมียก็คล้าย ๆ กัน แต่นิ้วจะเป็นปุ่มปม ปุ่มปม

คือดอกที่ติดนิ้วตาล ดอกหนึ่ง ๆ โตวัดผ่ากลางประมาณ 2 เซนติเมตร และมีกาบแข็ง ๆ หุ้ม แต่ละดอก กาบนี้จะเติบโตไปเป็นหัวจุกลูกตาลอีกทีหนึ่ง ผลกลมหรือรูปทรงกระบอกสั้น ๆ โตวัดผ่ากลางประมาณ 15 เซนติเมตร ผลเป็นเส้นใยแข็งเป็นมัน มักมีสีเหลืองแกมดำคล้ำเป็นมันหุ้มห่อเนื้อเยื่อสีเหลืองไว้ภายใน ผลหนึ่ง ๆ จะมีเมล็ดใหญ่แข็ง 1 3 เมล็ด
การใช้ประโยชน์จากตาลโตนด
ลำต้น ใช้ก่อสร้างทำเครื่องเรือน เช่น ทำรอด ตง แป เคร่าฝา ฟาก เสา วงกบ ทำเฟอร์นิเจอร์ ทำรางอาหารสัตว์และใช้เป็นเชื้อเพลิง เป็นต้น ลำต้นของตาลโตนดซึ่งมีความยาวประมาณ ๒๐ เมตร จำหน่ายต้นละ ๕๐๐ - ๖๐๐ บาท
 ราก ใช้ต้มเป็นยาสมุนไพรแก้โรคตานขโมย
 ก้านใบหรือทางตาล ใช้ทำรั้วบ้าน ทำคอกสัตว์ ทำเชื้อเพลิง เฟอร์นิเจอร์
ใบตาล ใช้มุงหลังคา กั้นเป็นฝาในสิ่งก่อสร้างชั่วคราว  เย็บเป็นกระแชงกันฝน จักใช้ทำแว่นน้ำตาล ใช้เย็บทำหมวก ทำลิ้นปี่ และใช้ทำเชื้อเพลิง
ช่อดอกตัวผู้  ตากแห้ง ใช้ทำเชื้อเพลิง ใช้กินต่างหมาก ใช้เป็นส่วนผสมต้มเป็นยาบำรุงกำลัง ตากแห้งต้มเป็นชาแก้เบาหวาน
ผลตาล ใช้ส่วนหัวของผลอ่อนโดยเฉพาะพันธุ์ข้าว ปรุงเป็นอาหารจำพวก ยำ แกง คั่ว และแกงเลียง คั้นเอาเนื้อและน้ำของผลสุก ใช้ปรุงแต่งกลิ่นขนม ผลตาลอ่อน


และสุก ยังใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น หมู วัว  เปลือกหุ้มผลหรือเมล็ดตาล ตากแห้งใช้เผาถ่าน และทำเป็นเชื้อเพลิง
ลูกโหนดสุก แต่ก่อนชาวบกเก็บมาเป็นอาหารวัว หมู และทำขนม ปัจจุบันบนคาบสมุทรสทิงพระ ได้มีการทดลอง-ศึกษา-พัฒนา เอาเนื้อลูกตาล มาทำสบู่ ไอศครีม และน้ำสลัด จากลูกตาลสุก นับเป็นอีกหลายก้าวในการพัฒนาลูกโหนดสุก
เมล็ด ส่วนที่เป็น พวมหรือ จาวซึ่งเป็นใบเลี้ยงใช้ทำขนมหวาน จาวตาลเชื่อมเปลือกส่วนนอกเมล็ดแก่ใช้เผาถ่าน(โดยขุดหลุม ใส่เมล็ดกลบด้วยแกลบข้าวเผาทิ้งไว้ราว ๒๔ ชั่วโมง) และเนื้อเมล็ดใช้ปักเทียว(ไม้ไผ่เหลากลมเหมือนคันเบ็ด)เป็นเหยื่อล่อกุ้งในการทำประมง
 ใยตาล ใยตาลอยู่ในก้านใบตาลช่วงโคนก้านใบหรือกาบ กาบที่จะให้ใยที่ดีมีคุณภาพต้องอวบอ้วนสมบูรณ์ โคนก้านใบตาลที่นิยมใช้มาทำเส้นใย เป็นก้านใบตาลหนุ่มที่มีอายุประมาณ ๘ - ๑๒ ปี ลำต้นสูงประมาณ ๒-๕ เมตร ที่ชาวบ้านเรียกว่า โหนดกาบนำกาบมาทุบให้แตกแล้วสางลอกเอา เส้นใยตาลออกเป็นเส้นๆจะได้เส้นใยขนาดยาวประมาณ ๑.๕ ๒.๕ ฟุต เส้นใยที่ได้จากสดสดจะมีสีขาว ส่วนเส้นใยที่ได้จากกาบแก่(แห้ง)จะมีสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม สมัยก่อนชาวบ้านใช้เส้นใยที่ได้ ขวั้นทำเชือกล่ามวัว เชือกผูกเรือหรือผูกสิ่งของต่างๆ ใช้ทำเครื่องมือดักปลาที่ชาวบ้านเรียกว่า ชุดใช้ทำไม้กวาด และใช้ทำเครื่องจักสาน เช่น กล่องบุหรี่  ล่วมหมาก ปัจจุบันประยุกต์ดัดแปลงเป็นงานหัตถกรรมประเภทต่างๆเช่น หมวก กระเป๋าถือใยตาล กล่องใส่กระดาษ  ที่รองจาน เป็นต้น


น้ำตาลสด ได้จากการคาบงวงตาลอ่อนเพศผู้ และทะลายตาลอ่อนเพศเมีย ซึ่งจะมีกรรมวิธีในการคาบซับซ้อนพอประมาณ น้ำหวานหรือน้ำตาลสดที่ได้ใช้เป็นเครื่องดื่ม ถ้านำน้ำตาลสดมาหมักต่อ ๑ - ๓ วัน จะเกิดแอลกอฮอล์และเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำตาลเมา (เมรัย) ที่ชาวบ้านทางใต้เรียกว่า หวากหรือ กระแช่และหากหมักต่อไปอีก ๑ - ๓ เดือนจะกลายเป็นน้ำตาลเปรี้ยวที่เรียกว่า น้ำส้มสายชูหมักการนำน้ำตาลสดมาเคี่ยวเป็น น้ำผึ้งโหนดหรือ น้ำตาลเข้มข้นเพื่อเป็นการถนอมอาหารเก็บไว้ใช้ปรุงอาหาร และทำขนม หรือแปรูปเป็นน้ำตาลแว่น และน้ำตาลผงสำหรับชงกาแฟ



บทที่3
วิธีการดำเนินโครงงาน
ตารางการปฏิบัติโครงงาน  ตั้งแต่วันที่ 8/กรกฎาคม/2560-19/สิงหาคม/2560
วัน/เดือน/ปี
เวลาที่ปฏิบัติกิจกรรม
กิจกกรมที่ปฏิบัติ
      2/กรกฎาคม/2560
09.00-09.30.
-เลือกหัวข้อในการทำโครงงาน
8/กรกฎาคม/2560
09.30-10.00.
-ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทางอินเตอร์เน็ต

15/กรกฎาคม/2560

10.30-11.30.
-ลงพื้นที่ศึกษาข้อมูล แหล่งขายของฝาก ต.สนามชัย อ.สทิงพระ จ.สงขลา
22/กรกฎาคม/2560
13.00-14.00
-เริ่มเขียนเค้าโครงของโครงงาน
-ปรึกษาคุณครู
28/กรกฎาคม/2560
09.00-13.30
-เขียนโครงงาน  จัดทำรูปเล่ม

1.เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษา
1.สมุดจดบันทึก
2.ปากกาน้ำเงิน
3.ปากกาลบคำผิด

4.ดินสอ
5.ยางลบ
6.กระดาษA4
7.กระดาษหน้าปก-หลังปกโครงงาน
8.สันหนังสือ
9.คอมพิวเตอร์
10.เครื่องปริ้นซ์
2.วิธีการศึกษา
1.ลงพื้นที่ศึกษาข้อมูล แหล่งขายของฝาก ต.สนามชัย อ.สทิงพระ จ.สงขลา
2.  ศึกษาจากเอกสารอ้างอิง  ทางอินเตอร์เน็ต
3.  ประเด็นการศึกษา
-  ได้รู้ถึงประโยชน์ของต้นตาลโตนด
-  ได้รู้วิธีในการทำน้ำตาลแว่น
3.ผลการศึกษา
1.  ได้ศึกษาประโยชน์ของต้นตาลโตนด
2.  ได้ศึกษาวิธีการทำน้ำตาลแว่น

บทที่4
ผลการดำเนินโครงงาน
ในการจัดทำโครงงานน้ำตาลแว่น ผู้จัดทำโครงงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระและเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ในการเรียนรู้เรื่องภูมิปัญญาไทย อีกทั้งยังสอดแทรกสาระความรู้ในเรื่องต่าง ๆ นำเสนอผลงานออกมาเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆตลอดจนสามารถนำความรู้ที่ได้จากการทำโครงงานไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและพัฒนาต่อยอดเพื่อการประกอบอาชีพได้


บทที่5
สรุปผลอภิปราย  ข้อเสนอแนะ
1.สรุปผลการศึกษา
            จากการศึกษาวิธีการทำน้ำตาลแว่น ผลิตภัณฑ์น้ำตาลแว่นเป็นที่รู้จัก เป็นใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่น และนำภูมิปัญญามาทำเป็นผลิตภัณฑ์ สามารถนำวัตถุดิบน้ำตาลโตนด ซึ่งมีในท้องถิ่นมาเพิ่มมูลค่า สร้างราคาให้สูงขึ้นจากการจำหน่ายน้ำผึ้งเหลวปี๊บละ200500 บาท เป็นน้ำตาลแว่นมีราคาถึง 1,000 บาท และเป็นการสร้างงานแก่คนในชุมชนได้นำใบตาลซึ่งเป็นวัสดุที่มีอยู่มาทำเป็นแว่น หรือสานเป็นชะลอม ทำให้เกิดรายได้แก่ชุมชน น้ำตาลแว่น นำมาใช้ประโยชน์ในการรับประทานอาหารได้ทั้งอาหารคาว และอาหารหวาน
อาหารคาว ใช้เป็นส่วนประกอบของแกง ต่าง ๆ น้ำพริก อาหารหวาน ใช้เป็นส่วนประกอบของขนม เช่น ขนมโก๋ ขนมจาก ขนมพื้นเมืองต่าง ๆ ของอำเภอสทิงพระ
จุดเด่นผลิตภัณฑ์น้ำตาลแว่น
1. เป็นน้ำตาลแว่นที่ปราศจากสิ่งเจือปน
2. ขนาดเล็ก สวยงาม คุณภาพ และปริมาณคงที่
3. รสชาติคงที่ และหอมน่ารับประทาน
6. สามารถเก็บรักษาได้นาน ประมาณ 1 เดือน

ซึ่งเป็นการนำสิ่งที่ใกล้ตัวมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์  เป็นการฝึกให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์  เพื่อที่จะนำมาพัฒนาเป็นอาชีพเสริมได้
2.ข้อเสนอแนะ
            จากการศึกษาโครงงานการทำน้ำตาลแว่น  สามารถพัฒนาให้เป็นอาชีพเสริมได้


หลักฐานอ้างอิง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ขายสินค้า

ประวัติส่วนตัว